5 ไอเทม ที่ร้านอุปกรณ์เสริมมือถือที่ ต้องมีขายไว้เสมอ

เมื่อมือถือหรือสมาร์ทโฟนกลายเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตของเรา หนึ่งสินค้าน่าสนใจและได้รับอานิสงค์ความนิยมตามไปด้วยนั่นก็คือ “อุปกรณ์เสริมมือถือ” ทุกวันนี้กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะว่าตัวสินค้าซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ และกลุ่มลูกค้าของอุปกรณ์เสริมมือถือมีขนาดใหญ่ขึ้นในทุกๆ ปี 

ธุรกิจขายอุปกรณ์เสริมมือถือ คือ หนึ่งธุรกิจที่มีความเด่นชัดในเรื่องของสินค้า โดยในร้านจะมีการกำหนดตัวสินค้าไว้อย่างชัดเจน เพื่อจำหน่ายอุปกรณ์เสริมมือถือโดยตรง เพื่อเป็นการสร้างช่องทางสำหรับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ที่มีความต้องการในสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ

มาดูกันดีกว่าว่า เมื่อกลุ่มลูกค้าซื้อมือถือใหม่ แล้วผู้บริโภคต้องซื้ออุปกรณ์เสริม ดังนั้นอุปกรณ์เสริมที่ต้องมีขายในร้านหลักๆ เป็นสินค้าประเภทไหนบ้าง ?


 

Adapter หัวชาร์จมือถือ

ปัจจุบันมือถือหลายรุ่นไม่มีการแถมหัวชาร์จมาให้ในกล่องแล้ว ด้วยเหตุผลทางด้านสิ่งแวดล้อม ในการช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ จำเป็นที่จะต้องซื้อหัวชาร์จอันใหม่ นอกจากหัวชาร์จแล้ว ก็อาจจะต้องมีสายชาร์จ เพิ่มอีก เพื่อความสะดวกในการไปใช้ชาร์จในรถ



 

ฟิล์มกระจกกันรอยหน้าจอ

เป็นหนึ่งในไอเทมสำคัญที่ควรมีพร้อมตั้งแต่วันแรกที่รับเครื่อง หากเกิดเหตุไม่คาดฝันหน้าจอเป็นรอยขึ้นมาตั้งแต่วันแรกคงไม่ดีแน่ๆ ปัจจุบันก็มีหลายยี่ห้อ หลายรูปแบบ สามารถช่วยปกป้องหน้าจอจากรอยขีดข่วนที่อาจเกิดขึ้นได้ และยังคงการแสดงผลภาพได้อย่างคมชัด และทัชลื่นเหมือนเดิม



 

ฟิล์มเลนส์กล้อง

เพราะดีไซน์มือถือหลายรุ่น มีเลนส์กล้องหลังมีความนูนออกมาจากตัวเครื่อง ทำให้ฟิล์มเลนส์กล้องจึงกลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย เพื่อปกป้องเลนส์กล้อง ให้สวยใสไร้รอยขีดข่วน และที่สำคัญไม่ทำให้ภาพดรอป และยังคงถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอกันได้ภาพที่คมชัดและสีสวยเหมือนเดิม



 

เคสมือถือ

ไม่ว่ามือถือจะสวยแค่ไหน แต่ก็ต้องใส่เคส เพื่อปกป้องมือถือจากการโดนกระแทก มีตั้งแต่เคสแฟชั่น ที่เน้นความสวยงาม หรือเคสกันกระแทก ที่จะออกแบบมาเพื่อการปกป้องโดยเฉพาะ ราคาเริ่มต้นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100 บาท



 

หูฟังแบบไร้สาย

เป็นไอเทมยอดนิยม ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยพร้อมฟังก์ชันการใช้งาน ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานมากขึ้น บางรุ่นมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น ระบบตัดเสียงรบกวน หรือระบบกันน้ำกันเหงื่อได้ โดยราคาเริ่มต้นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท




นอกจากต้องมีสินค้าในร้านที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้กว้างที่สุดแล้วนั้น การสร้างฐานลูกค้าให้แข็งแกร่งก็เป็นสิ่งที่ควรทำ เช่น มีช่องทางขายออนไลน์ หรือรับสมัครตัวแทนจำหน่ายสินค้า เป็นต้น เมื่อกระจายสินค้าได้มากขึ้น กำไรก็ตามมาแน่นอน