ดราม่าคาเฟ่ ลูกค้ามาใช้บริการแต่ไม่อุดหนุน เปิดร้านคาเฟ่ ต้องใช้ต้นทุนเท่าไหร่ มาดูกัน ?

ช่วงเดือนที่ผ่านมา มีการคลายล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ ร้านอาหารสามารถเปิดให้ลูกค้านั่งภายในร้านได้บางส่วน แน่นอนว่าคนอยู่บ้านมาหลายเดือน เมื่อสามารถออกนอกบ้านได้หลายคนก็เริ่มออกไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่ที่ฮิตสุด ๆ ก็คงจะเป็นร้านคาเฟ่ เพราะได้แต่งตัว มีมุมถ่ายรูปสวย ๆ นั่นเอง 📸

 
🗣จนเกิดกระแสดราม่าคาเฟ่ ในหลายกรณีที่พบในโซเชียล ยกตัวอย่าง กรณี แก๊งลูกค้าเนียนถ่ายรูปฟรี มา 6 คนสั่งน้ำแก้วเดียว พอพนักงานขอให้สั่งเพิ่มคนละแก้ว ออกอาการปรี๊ดแตก พร้อมรีวิวให้คะแนนเพียง 1 ดาว⭐  

 
หรืออีกกรณี เจ้าของคาเฟ่โพสต์ภาพลูกค้าพร้อมระบุว่าถึงปัญหาที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการแต่ไม่อุดหนุนของในร้าน โดยมีเคสเน็ตไอดอลขายเสื้อผ้าที่เข้าประตูหลังเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนหลาย ๆ ชุดมาเป็นกระเป๋าแต่ไม่ซื้อน้ำสักแก้ว 🥤ทั้งที่น้ำแก้วละ 40 บาท ไม่ซื้อไม่ว่าเช็คอินให้ยังไม่มี

 
ซึ่งทั้งสองกรณี ต่างถูกวิพากษ์วิจารณ์กันหนาหู 🗣 ในเรื่องความไม่เหมาะสมของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ แต่ไม่ช่วยอุดหนุนเจ้าของร้านคาเฟ่ แต่ก็ยังมีอีกฝั่งที่มองว่า ร้านต้องทำใจเมื่อเปิดพื้นที่ให้ลูกค้าเข้ามา อาจต้องเจอลูกค้าแนวนี้ ไม่สามารถไปบังคับให้ลูกค้าซื้อได้

 
เมื่อทุกอย่าง คือ ต้นทุน !! จุดนี้เองที่ผู้ประกอบการร้านคาเฟ่ต้องแบกรับ กว่าจะมีร้านสวย ๆ มุมเด็ดให้ลูกค้าได้ถ่ายรูป ผ่านกระบวนการคิดมามากมาย งั้นเรามาดูซิว่า กว่าจะเปิดร้านคาเฟ่ได้ ต้องใช้เงินทุนมากน้อยแค่ไหน?

 
ขั้นต่ำของเงินลงทุนสำหรับธุรกิจร้านคาเฟ่ก็จะอยู่ที่ประมาณหลักแสน เพราะต้องมีค่าลงทุนในส่วนของชุดอุปกรณ์ วัตถุดิบ และเงินทุนสำหรับหมุนเวียนในร้าน โดยวิธีการเตรียมความพร้อมสำหรับ ต้นทุน = เงิน เงิน เงิน  แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

 
💸 ส่วนที่ 1 คือ เงินสำหรับหมุนเวียนใช้จ่ายภายในร้าน เงินส่วนนี้เรียกได้ว่าเป็นก้อนเงินที่ใหญ่ที่สุด เพราะต้องใช้สำหรับซื้อของเข้าร้าน ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่า และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
 
💸 ส่วนที่ 2 คือ เงินฉุกเฉิน การทำธุรกิจต้องมีเงินเตรียมไว้สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉินที่จำเป็นต่าง ๆ เสมอ เช่น ซ่อมแซมร้าน หรืออุปกรณ์ ในกรณีที่อาจเกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัยต่าง ๆ
 
💸 ส่วนที่ 3 คือ เงินสำรอง เงินส่วนนี้ถ้าได้เบิกถอนออกมาใช้จะถือว่าเป็นเรื่องราวดีดี

 
นอกจากต้นทุนแล้ว เรื่องของการเลือกทำเล ก็เป็นตัวกำหนดต้นทุนที่แตกต่างกัน รวมถึงการตกแต่งร้าน ค่าใช้จ่ายก็จะอยู่ที่ความพอใจและสไตล์ของเจ้าของธุรกิจ เช่น สไตล์ลอฟท์ ดีไซน์ดิบ เท่ โดนใจ โชว์ความเปลือย มักนิยมโชว์ระบบการเดินท่อ ,ท่อเดินสายไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อโชว์ความอาร์ต ซึ่งการลงทุนแต่งร้านสไตล์ลอฟท์ จะอยู่ประมาณที่ 8,000 – 12,000 บาท/ตรม. เช่น พื้นที่ร้าน 30 ตรม.x 12,000 = 360,000 บาท รวมอุปกรณ์ทำกาแฟ และของตกแต่งร้านอีกประมาณ 300,000 บาท รวมทั้งหมดประมาณ 660,000 บาท เป็นต้น

 
สิ่งสำคัญของการเปิดร้านคาเฟ่ก็อยู่ที่เครื่องชงกาแฟ ☕    เพราะการเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟและอุปกรณ์ราคาแพงนั้นจะได้คุณภาพน้ำกาแฟที่ดี แต่ควรเลือกให้เหมาะกับขนาดธุรกิจและกลุ่มลูกค้า เช่น ถ้าจะขายสัก 30 - 35 บาท ก็เครื่องชงสัก 5 หมื่นก็ได้ ถ้าจะขายสัก 40 - 50 บาทขึ้นไปก็สามารถใช้เครื่องเป็นแสนได้เลย

 
ซึ่งราคาต่อแก้ว 🥤อาจจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยราคาที่ผู้บริโภคจะยอมรับได้ดี ไม่ควรจะเกินแก้วละ 30 บาท โดยเมนูกาแฟร้อน 25 บาท เย็น 30 และปั่น 35 บาท โดยสัดส่วนการขายของร้านกาแฟทั่วไป เป็นเมนูกาแฟร้อน 20% และกาแฟเย็น 80% หรือพูดง่าย ๆ คือ ถ้าขายกาแฟ 100 แก้ว จะเป็นกาแฟร้อน 20 แก้ว และกาแฟเย็น 80 แก้ว จากสัดส่วนดังกล่าว

 
☕   ถ้าขายกาแฟร้อน ราคาแก้วละ 25 บาทและกาแฟเย็น ราคาแก้วละ 30 บาท เมื่อนำมาเฉลี่ย และคิดต้นทุนวัตถุดิบ กำไรขั้นต้นจากราคาขายปลีกจะอยู่ที่ 17.80 บาทต่อแก้ว หรือประมาณ 61.38% จากต้นทุน จะเห็นว่ากำไรต่อแก้วหักค่าวัตถุดิบ ไม่รวมค่าเช่า ค่าพนักงาน จะมีกำไรประมาณ 10 กว่าบาท แต่แน่นอนว่าในระดับร้านคาเฟ่ หลาย ๆ ร้านอาจตั้งราคาสูงกว่านั้น ด้วยต้นทุนร้านที่ต่างกัน รวมถึงทำเลที่ตั้งร้านด้วย

 
“จาก สถิติร้านกาแฟที่เปิด มีอัตราอยู่รอดเพียง 20% เท่านั้น”
 
ปัญหาสำคัญ  ๆ ได้แก่ การลาออกบ่อย  ๆ ของพนักงานขาย เริ่มต้นธุรกิจโดยขาดความรู้ทำโดยแค่อาศัยใจรัก ตกหลุมพรางการซื้อแฟรนไชส์ ไม่มีระบบที่ดี ดูแลไม่ทั่วถึง และพนักงานทุจริต เป็นต้น
มาถึงตรงนี้ ถึงอยากให้ผู้บริโภคมองในมุมผู้ประกอบการ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีต้นทุนในการทำธุรกิจทั้งสิ้น หากคุณชื่นชอบความสวยงามของร้าน อยากถ่ายรูปสวย  ๆ 📸  ก็ควรจะช่วยอุดหนุนเมนูสินค้าในร้านบ้าง เพื่อให้ร้านคาเฟ่ได้อยู่รอด เช่นกัน

 
เจ้าของร้านคาเฟ่ก็ควรตั้งราคาให้เหมาะสม ไม่แพงเกินไปจนลูกค้าซื้อไม่ไหว ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดีกว่านะ !!